ปราสาทภูมิโปน
สุรินทร์เชิญเที่ยวปราสาทภูมิโปน ปราสาทหินที่น่าจะเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย อายุ 1,400-1,500 ปี เผยประวัติปราสาทเกี่ยวพันกับตำนานโบราณเรื่อง 'นางนมใหญ่'เมื่อวันที่ 27 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ จ.สุรินทร์ นอกเหนือจากจะมีแหล่งท่องเที่ยวทางโบราณสถานที่มีชื่อเสียงหลายแห่งอาทิ กลุ่ม ปราสาทตาเมือนธม ,ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก,ปราสาทศรีขรภูมิ อ.ศรีขรภูมิ ที่มีชื่อเสียงแล้ว ยังมีปราสาทอีก 1แห่งถึงแม้จะไม่ใหญ่โตสวยงามเหมือนกับแห่งอื่นนักแต่กลับพบว่าเป็นปราสาทที่มีจุดเด่นและความน่าสนใจไม่น้อยกว่าแห่งอื่นเนื่องจากเป็นปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย มีอายุถึง 1,400 กว่าปีอีกด้วยปราสาทแห่งนี้คือปราสาทภูมิโปน ต.ดม อ.สังขะ จ.สุรินทร์ นั่นเอง
นายล้ำเลิศ พัวพัฒนโชติ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลดม กล่าวว่าสำหรับปราสาทภูมิโปนเป็นปราสาทศิลปะแบบเขมรที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยมีอายุราว 1,400-1,500 ปี สภาพโดยทั่วไปปราสาทภูมิโปนตั้งอยู่บนเนินสูงกลางหมู่บ้านภูมิโปน ซึ่งเป็นชุมชนเมืองโบราณที่มีคูเมืองกำแพงล้อมรอบ มีสระน้ำโบราณขนาดใหญ่ที่ออกแบบซับซ้อนหลายสระทางทิศตะวันออกเริ่มตั้งแต่ สระตา สระกนาล ที่ซ้อนอยู่ภายในสระตาอีกชั้นหนึ่ง สระตราวที่อยู่ถัดจากสระตาไปอีกส่วน
ปราสาทภูมิโปนประกอบด้วยปราสาทอิฐ 3 หลัง และฐานปราสาทศิลาแลงอีก1 หลัง ตั้งเรียงกันจากเหนือไปใต้ ปราสาทอิฐองค์ที่ 3 ซึ่งเป็นปรางค์ประธาน เป็นปราสาทหลังใหญ่ ก่อด้วยอิฐไม่สอปูน มีเสาประดับกรอบประตูและทับหลังทำด้วยหินทราย ใต้หน้าบันเหนือทับหลังขึ้นไปมีลายรูปใบไม้ม้วน รูปแบบและเทคนิคการก่อสร้างปราสาทประธานเทียบได้กับปราสาทขอมสมัยก่อนพระนคร ร่วมสมัยกับปราสาทหลังที่ 1 และเมื่อกรมศิลปากรดำเนินการขุดแต่ง ได้พบจารึกภาษาสันสกฤต อักษรปัลลวะ ซึ่งเคยใช้ในราวพุทธศตวรรษที่ 12-13 ซึ่งถือเป็นจารึกรุ่นแรกๆ (ส่วนจารึกที่ระบุศักราชชัดเจนเท่าที่พบในประเทศไทยที่ถือว่าเก่าแก่ที่สุดคือ จารึกเขาน้อย อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว พุทธศักราช 1180 และจารึกเขาวัง อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว พุทธศักราช 1182 โดยมีความเก่าไม่เท่าปราสาทภูมิโปนแห่งนี้) สอดคล้องกับอายุของรูปแบบศิลปะของปราสาทนี้ด้วย ซึ่งนับเป็นโบราณสถานที่เก่าแก่มากที่สุดในประเทศไทย และเป็นจังหวัดที่พบศิลาจารึกอักษรปัลลวะ-สันสกฤต ส่วนฐานปราสาทศิลาแลงและปราสาทหลังที่ 2 เป็นการสร้างในสมัยต่อมา ไม่อาจกำหนดอายุได้ชัดเจน
ชื่อปราสาทแห่งนี้สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากชื่อภาษาเขมร2 คำ คือ ภูมิ ซึ่งในภาษาเขมรออกเสียงว่าปูม หมายถึง แผ่นดินหรือสถานที่ และ ปูน ซึ่งออกเสียงว่า โปน แปลว่า หลบซ่อน รวมความแล้วมีความหมายว่า"ที่หลบซ่อน" จากความหมายของชื่อมีความสัมพันธ์กับนิทานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับปราสาทแห่งนี้คือเรื่อง"เนียงเด๊าะทม" แปลตรงๆว่านางนมใหญ่ หรือนางผู้มีหน้าอกสวยงาม ซึ่งมีเรื่องเล่าว่าเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์ขอมแต่ถูกนำมาพักอาศัย ณ เมืองนี้เพื่อหลบหนีภัยสงคราม
ตำนานเนียงเด๊าะทม หรือ เนียง ด็อฮ ทม มีว่า ที่สระลำเจียก ห่างจากตัวปราสาทไปทางทิศตะวันออกประมาณ 200 เมตร มีกลุ่มต้นลำเจียกขึ้นเป็นพุ่มๆ ต้นลำเจียกที่สระน้ำแห่งนี้ไม่เคยมีดอกเลย ในขณะที่ต้นอื่นๆนอกสระต่างก็มีดอกปกติ ความผิดปกติของต้นลำเจียกที่สระลำเจียกหน้าปราสาท เป็นที่มาของตำนานปราสาทภูมิโปนการสร้างเมืองและการลี้ภัยของราชธิดาขอม
กษัตริย์ขอมองค์หนึ่งได้สร้างเมืองลับไว้กลางป่าใหญ่ชื่อว่าปราสาทภูมิโปน ต่อมาเมื่อเมืองหลวงเกิดความไม่สงบ มีข้าศึกมาประชิดเมือง กษัตริย์ขอมจึงส่งพระราชธิดาพร้อมไพร่พลจำนวนหนึ่งมาหลบซ่อนลี้ภัยที่ภูมิโปน พระราชธิดานั้นมีพระนามว่าพระนางศรีจันทร์หรือ เนียง ด็อฮ ทม แต่คนทั่วไปมักเรียกนางว่าพระนางนมใหญ่
เจ้าเมืองอีกเมืองหนึ่งได้ส่งพรานป่าเจ็ดคนพร้อมเสบียงกรังและช้าง 1 เชือกออกล่าจับสัตว์ป่าเพื่อจะนำมาเลี้ยงในอุทยานของพระองค์ พรานป่ารอนแรมจนมาหยุดพักตั้งห้างล่าสัตว์อยู่ที่ตระเปียง เปรียน แปลว่าหนองน้ำของนายพราน ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของบ้านตาพราม ต.เทพรักษาฯในปัจจุบัน กลุ่มพรานสามในเจ็ดคน ก็ดั้นด้นจนไปพบปราสาทภูมิโปน และไปได้ยินกิตติศัพท์ความงามของพระนางศรีจันทร์เข้า พรานทั้งเจ็ดจึงได้ปลักลอบแอบดูพระนางศรีจันทร์สรงน้ำ และเห็นว่านางมีความงามสมคำร่ำลือจริงจึงรีบเดินทางกลับเพื่อไปรายงานพระราชา พระราชายินดีปรีดามากรีบจัดเตรียมกองทัพเพื่อไปรับนางมาเป็นพระชายาคู่บารมี
ฝ่ายพระนางศรีจันทร์หลังจากวันที่ไปสรงน้ำก็เกิดลางสังหรณ์กระสับกระส่ายว่ามีคนมาพบที่ซ่อนของนางแล้ว เมื่อบรรทมก็ฝันว่าได้ทำกระทงเสี่ยงทายใส่เส้นผมเจ็ดเส้น อันมีกลิ่นหอมเเละเขียนสาส์นใจความว่าใครเก็บกระทงของนางได้นางจะยอมเป็นคู่ครอง ในกระทงยังให้ช่างเขียนรูปของนางใส่ลงไปด้วย เมื่อตื่นขึ้นมานางจึงได้จัดการทำตามความฝัน(ด้วยการที่นางเอาผมใส่ในผอบเครื่องหอมผมนางจึงหอม นางจึงได้ชื่อว่า เนียง เซาะกระโอบ หรือนางผมหอมอีกชื่อหนึ่ง) และนำกระทงไปลอย ณ สระลำเจียกหน้าปราสาท กระทงของนางได้ลอยไปยังอีกเมืองหนึ่งชื่อว่าเมืองโฮลมาน และราชโอรสของเมืองนี้ได้เก็บกระทงของนางได้ ทันทีที่เจ้าชายเปิดผอบก็หลงรักนางทันทีเจ้าชายโฮลมานนั้นมีรูปร่างไม่หล่อเหลา แต่มีฤทธานุภาพมากในเรื่องเวทย์มนต์คาถาและได้ชื่อว่ารักษาคำสัตย์เป็นที่ตั้ง พระองค์จึงไปสู่ขอนางตามประเพณีเพราะเป็นผู้เก็บผอบได้
แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร เมื่อพระนางศรีจันทร์ได้เห็นรูปร่างของเจ้าชายโฮลมานนางจึงได้แต่นิ่งอึ้งและร้องไห้ เจ้าชายโฮลมานทรงเข้าพระทัยดีเพราะรู้ตัวว่าตัวเองมีรูปร่างอัปลักษณ์ แต่ด้วยความรักที่พระองค์มีต่อพระนางศรีจันทร์ พระองค์จึงไม่บังคับที่จะเอาตัวนางมาเป็นชายากลับช่วยพระนางขุดสระสร้างกำแพงเมือง และสร้างกลองชัยเอาไว้เพื่อให้พระนางตียามมีเหตุเดือดร้อนต้องการให้พระองค์ช่วยเหลือ พระองค์จะมาช่วยเหลือนางโดยทันที แต่ห้ามตีด้วยเหตุไม่จำเป็นเป็นอันขาด
ต่อมา มีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่มาหลงรักพระนางศรีจันทร์ นั่นคือบุญจันทร์นายทหารคนสนิทที่พระราชบิดาของพระนางศรีจันทร์ไว้วางพระราชหฤทัยให้รับใช้ใกล้ชิดพระนางศรีจันทร์ ด้วยความใกล้ชิดทำให้บุญจันทร์หลงรักพระนางศรีจันทร์ แต่พระนางศรีจันทร์ก็ไม่ได้มีใจตอบกับบุญจันทร์ ยังคงคิดกับบุญจันทร์แค่เพื่อนสนิทเท่านั้นวันหนึ่งบุญจันทร์ได้เห็นกลองชัยที่เจ้าชายโฮลมานให้พระนางไว้ ก็นึกอยากตี จึงไปร่ำร้องกับพระนางทุกเช้าเย็นอยากจะขอลองตีกลอง พระนางทนไม่ไหวพูดประชดทำนองว่า ถ้าอยากตีก็ตีไปเพราะคงจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว บุญจันทร์หน้ามืดตามัวด้วยคิดว่านางมีใจให้เจ้าชายโฮลมานก็ไปตีกลอง เจ้าชายโฮลมานและไพร่พลก็ปรากฏตัวขึ้นทันทีเพราะนึกว่าพระนางศรีจันทร์มีเหตุร้าย พระนางศรีจันทร์เสียใจมากเมื่อต้องบอกถึงเหตุผลที่ตีกลองให้เจ้าชายทราบ เจ้าชายโฮลมานตำหนิพระนางและเป็นอันสิ้นสุดสัญญาที่ให้ไว้กับพระนางทันที พระองค์จะไม่มาช่วยเหลือพระนางอีกแล้วแม้จะตีกลองเท่าไหร่ก็ตาม
ฝ่ายพระราชาที่ส่งพรานป่าเจ็ดคน มาล่าสัตว์แล้วมาพบพระนางในตอนแรกนั้นก็ส่งทัพมาล้อมเมืองภูมิโปนไว้พระนางจึงหนีเข้าไปหลบภัยในปราสาทเเละคิดที่จะยอมตายเสียดีกว่า เพราะคนที่มาหลงรักพระนางแต่ละคนนั้น คนหนึ่งแม้จะเพียบพร้อมก็มีความอัปลักษณ์ คนหนึ่งก็มีความต่างศักดิ์ ด้านชนชั้นจนไม่อาจจะรักกันได้ และยังมีข้าศึกมาประชิดเมืองหมายจะเอาพระนางไปเป็นชายาอีก พระนางจึงพยายามหลบไปด้านที่มีการยิงปืนใหญ่ตั้งใจจะโดนกระสุนให้ตาย แต่พระนางก็กลับไม่ตายแต่ได้รับบาดเจ็บ แขนซ้ายหักและมีแผลเหนือราวนมด้านซ้ายเล็กน้อย(ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านดม-ภูมิโปนจะสังเกตเด็กผู้หญิงคนใดมีลักษณะแขนด้านซ้ายเหมือนเคยหักและมีแผลเป็นเหนือราวนมด้านซ้าย จะสันนิษฐานว่าพระนางด็อฮ ทม กลับชาติมาเกิด) เมื่อพระราชาตีเข้าเมืองได้จึงรีบรักษานาง
ไม่ช้าพระนางก็หาย พระราชาจึงเตรียมยกทัพกลับและจะนำพระนางกลับเมืองด้วย พระนางจึงขออนุญาตพระราชาเป็นครั้งสุดท้ายขอไปอาบน้ำที่สระลำเจียก และปลูกต้นลำเจียกไว้กอหนึ่งพร้อมกับอธิษฐานว่าถ้าพระนางยังไม่กลับมาที่นี่ขอให้ต้นลำเจียกอย่าได้ออกดอกอีกเลย หลังจากนั้นพระนางก็ถูกนำสู่นครทางทิศตะวันตก ไปทางบ้านศรีจรูก พักทัพและฆ่าหมูกินที่นั่น(ซี จรูกแปลว่ากินหมู) ทัพหลังตามไปทันที่บ้านทัพทัน (ซึ่งกลายเป็นชื่อบ้านในปัจจุบัน)และเดินทางต่อมายังบ้านลำดวน พักนอนที่นั่น (ในภาษาเขมรคือ เรือม ดูล ซึ่งเป็นชื่อของ อ.ลำดวนในปัจจุบัน)
ดังนั้นคำว่าภูมิโปน จึงมีความหมายโดยรวมว่าหมู่บ้านแห่งการหลบซ่อน (ภูมิ แปลว่า หมู่บ้าน โปน แปลว่า หลบซ่อน อีกความหมายหนึ่งแปลว่า มะกอก)
นอกจากนี้ชาวบ้านในพื้นที่บ้านภูมิโปนยังเล่าขานอีกว่าต้นลำเจียกที่มีเผ่าพันธุ์สืบทอดต่อจากต้นที่นางหน้าอกใหญ่หรือนางผู้มีหน้าอกสวยงามปลูกถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีดอก
ทุกๆปีทาง อบต.ดม จะมีการจัดงานแสงสีเสียงตำนานปราสาทภูมิโปน เรื่อง”เนียงด็อฮธม”ในช่วงต้นเดือน เม.ย.โดยก่อนจะมีการแสดง ก็จะมีพิธีเซ่นไหว้ปราสาทภูมิโปน ก่อนลั่นฆ้องเปิดการแสดง เสียง สี เสียง ซึ่งเป็นตำนานรักสามเศร้า ขององค์หญิงกับคนรัก ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและอนุรักษ์สืบสานตำนานปราสาทภูมิโปนซึ่งเป็นปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ปี โดยก่อนเปิดการแสดง มีการแสดงเดินแบบผ้าไหม ชื่อดังของจังหวัดสุรินทร์ซึ่งสามารถสร้างสีสันได้อย่างดีในทุกปี ทาง อบต.ดม มีแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวผักผ่อนหย่อนใจทางธรรมชาติเพื่อเชื่อมปราสาทภูมิโปนซึ่งอยู่ไม่ไกลกันคือหาดจอมเทียม ภายในสระปรือที่อยู่ไม่ไกลกัน โดยจะนำทรายมาเททำเป็นหาดทรายเทียมจึงตั้งชื่อว่าหาดจอมเทียม นั่นเอง
http://www.dailynews.co.th/Content/regional
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น