วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557


                                   ปราสาทบ้านพลวง


   ปราสาทหินบ้านพวง ผู้เชี่ยว ชาญทางด้านประวัติศาสตร์กัมพูชา ต่างเชื่อว่าถูกสร้างขึ้นระหว่างปลายยุคเมืองพระนคร ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ ท่ามการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก และในอีก ๑๐๐-๒๐๐ ปีต่อมา ก็เข้าสู่ยุคการค้นพบครั้งมโหฬาร เมื่อ ดา กามา โคลัมบัส ก็ค้นพบชวา และอเมริกาฯลฯ ยุคนี้นับเป็นยุคที่ยุโรปนิยมโลกตะวันออก

                                         ลักษณะทางสถาปัตยกรรมศาสตร์
 
      ปราสาทบ้านพลวง มีลักษณะของศิลปะร่วมแบบบาปวน และแบบนครวัด ครึ่งแรกของพุทธศตวรรษที่ ๑๗ เริ่มตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๖ สถาปนาราชวงศ์มหิธรปุระ ยังพบว่ามีปราสาทลักษณะคล้ายกันหลายแห่งในประเทศไทย เช่น
ปราสาทพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์
ปราสาทสระกำแพงใหญ่ อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ
ปราสาทสดกก็อกธม อำเภอตาพระยา จังหวัดสระแก้ว
ปราสาทพนมวัน และปราสาทหินพิมาย จังหวัดนครราชสีมา
ปราสาทกู่สวนแตง
ปราสาทตาเมือนธม กิ่งอำเภอพนมดงรัก และปราสาทศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ฯลฯ

    ลักษณะของปราสาทหินองค์นี้เป็นปรางค์องค์เดียว ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงขนาดใหญ่รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีประตูทางเข้าด้านหน้าเพียงด้านเดียวส่วนด้านอื่นอีกสามด้านทำเป็นประตูหลอก

    องค์ปรางค์ก่อด้วยศิลาแลง และหินทรายสีชมพู ศาสนสถานแห่งนี้เป็นรูปสี่เหลี่ยมย่อมุม มีภาพจำหลักที่ละเอียดอ่อนด้วยฝีมือช่างศิลป์ที่ประณีตงดงาม แต่องค์ปรางค์เหลือเพียงครึ่งเดียว ส่วนยอดหักหายไป รอบบริเวณมีบาราย (สระน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น)

    สันนิษฐานได้ว่า
-ปราสาทแห่งนี้น่าจะเป็นการ สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่องค์พระอินทร์
-จากลักษณะของฐานรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ มีพื้นที่ทางด้านข้างขององค์ปรางค์เหลืออยู่มาก สันนิษฐานว่า แผนผังที่แท้จริงของปราสาทแห่งนี้น่าจะประกอบด้วยปรางค์สามองค์สร้างเรียงกัน แต่อาจยังสร้างไม่เสร็จหรืออาจถูกรื้อออกไปอย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นได้

                                 


          

       http://www.thai-tour.com/thai-tour/northeast/surin/data/place/pic_prasat-banphluang.htm




                                        ปราสาทภูมิโปน

     สุรินทร์เชิญเที่ยวปราสาทภูมิโปน ปราสาทหินที่น่าจะเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย อายุ 1,400-1,500 ปี เผยประวัติปราสาทเกี่ยวพันกับตำนานโบราณเรื่อง 'นางนมใหญ่'
                           
                                           

   เมื่อวันที่ 27 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ จ.สุรินทร์ นอกเหนือจากจะมีแหล่งท่องเที่ยวทางโบราณสถานที่มีชื่อเสียงหลายแห่งอาทิ กลุ่ม ปราสาทตาเมือนธม ,ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก,ปราสาทศรีขรภูมิ อ.ศรีขรภูมิ ที่มีชื่อเสียงแล้ว ยังมีปราสาทอีก 1แห่งถึงแม้จะไม่ใหญ่โตสวยงามเหมือนกับแห่งอื่นนักแต่กลับพบว่าเป็นปราสาทที่มีจุดเด่นและความน่าสนใจไม่น้อยกว่าแห่งอื่นเนื่องจากเป็นปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย มีอายุถึง 1,400 กว่าปีอีกด้วยปราสาทแห่งนี้คือปราสาทภูมิโปน ต.ดม อ.สังขะ จ.สุรินทร์ นั่นเอง

  นายล้ำเลิศ พัวพัฒนโชติ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลดม กล่าวว่าสำหรับปราสาทภูมิโปนเป็นปราสาทศิลปะแบบเขมรที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยมีอายุราว 1,400-1,500 ปี สภาพโดยทั่วไปปราสาทภูมิโปนตั้งอยู่บนเนินสูงกลางหมู่บ้านภูมิโปน ซึ่งเป็นชุมชนเมืองโบราณที่มีคูเมืองกำแพงล้อมรอบ มีสระน้ำโบราณขนาดใหญ่ที่ออกแบบซับซ้อนหลายสระทางทิศตะวันออกเริ่มตั้งแต่ สระตา สระกนาล ที่ซ้อนอยู่ภายในสระตาอีกชั้นหนึ่ง สระตราวที่อยู่ถัดจากสระตาไปอีกส่วน


  ปราสาทภูมิโปนประกอบด้วยปราสาทอิฐ 3 หลัง และฐานปราสาทศิลาแลงอีก1 หลัง ตั้งเรียงกันจากเหนือไปใต้ ปราสาทอิฐองค์ที่ 3 ซึ่งเป็นปรางค์ประธาน เป็นปราสาทหลังใหญ่ ก่อด้วยอิฐไม่สอปูน มีเสาประดับกรอบประตูและทับหลังทำด้วยหินทราย ใต้หน้าบันเหนือทับหลังขึ้นไปมีลายรูปใบไม้ม้วน รูปแบบและเทคนิคการก่อสร้างปราสาทประธานเทียบได้กับปราสาทขอมสมัยก่อนพระนคร ร่วมสมัยกับปราสาทหลังที่ 1 และเมื่อกรมศิลปากรดำเนินการขุดแต่ง ได้พบจารึกภาษาสันสกฤต อักษรปัลลวะ ซึ่งเคยใช้ในราวพุทธศตวรรษที่ 12-13 ซึ่งถือเป็นจารึกรุ่นแรกๆ (ส่วนจารึกที่ระบุศักราชชัดเจนเท่าที่พบในประเทศไทยที่ถือว่าเก่าแก่ที่สุดคือ จารึกเขาน้อย อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว พุทธศักราช 1180 และจารึกเขาวัง อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว พุทธศักราช 1182 โดยมีความเก่าไม่เท่าปราสาทภูมิโปนแห่งนี้) สอดคล้องกับอายุของรูปแบบศิลปะของปราสาทนี้ด้วย ซึ่งนับเป็นโบราณสถานที่เก่าแก่มากที่สุดในประเทศไทย และเป็นจังหวัดที่พบศิลาจารึกอักษรปัลลวะ-สันสกฤต ส่วนฐานปราสาทศิลาแลงและปราสาทหลังที่ 2 เป็นการสร้างในสมัยต่อมา ไม่อาจกำหนดอายุได้ชัดเจน


  ชื่อปราสาทแห่งนี้สันนิษฐานว่าน่าจะมาจากชื่อภาษาเขมร2 คำ คือ ภูมิ ซึ่งในภาษาเขมรออกเสียงว่าปูม หมายถึง แผ่นดินหรือสถานที่ และ ปูน ซึ่งออกเสียงว่า โปน แปลว่า หลบซ่อน รวมความแล้วมีความหมายว่า"ที่หลบซ่อน" จากความหมายของชื่อมีความสัมพันธ์กับนิทานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับปราสาทแห่งนี้คือเรื่อง"เนียงเด๊าะทม" แปลตรงๆว่านางนมใหญ่ หรือนางผู้มีหน้าอกสวยงาม ซึ่งมีเรื่องเล่าว่าเป็นพระราชธิดาของกษัตริย์ขอมแต่ถูกนำมาพักอาศัย ณ เมืองนี้เพื่อหลบหนีภัยสงคราม


  ตำนานเนียงเด๊าะทม หรือ เนียง ด็อฮ ทม มีว่า ที่สระลำเจียก ห่างจากตัวปราสาทไปทางทิศตะวันออกประมาณ 200 เมตร มีกลุ่มต้นลำเจียกขึ้นเป็นพุ่มๆ ต้นลำเจียกที่สระน้ำแห่งนี้ไม่เคยมีดอกเลย ในขณะที่ต้นอื่นๆนอกสระต่างก็มีดอกปกติ ความผิดปกติของต้นลำเจียกที่สระลำเจียกหน้าปราสาท เป็นที่มาของตำนานปราสาทภูมิโปนการสร้างเมืองและการลี้ภัยของราชธิดาขอม


  กษัตริย์ขอมองค์หนึ่งได้สร้างเมืองลับไว้กลางป่าใหญ่ชื่อว่าปราสาทภูมิโปน ต่อมาเมื่อเมืองหลวงเกิดความไม่สงบ มีข้าศึกมาประชิดเมือง กษัตริย์ขอมจึงส่งพระราชธิดาพร้อมไพร่พลจำนวนหนึ่งมาหลบซ่อนลี้ภัยที่ภูมิโปน พระราชธิดานั้นมีพระนามว่าพระนางศรีจันทร์หรือ เนียง ด็อฮ ทม แต่คนทั่วไปมักเรียกนางว่าพระนางนมใหญ่


   เจ้าเมืองอีกเมืองหนึ่งได้ส่งพรานป่าเจ็ดคนพร้อมเสบียงกรังและช้าง 1 เชือกออกล่าจับสัตว์ป่าเพื่อจะนำมาเลี้ยงในอุทยานของพระองค์ พรานป่ารอนแรมจนมาหยุดพักตั้งห้างล่าสัตว์อยู่ที่ตระเปียง เปรียน แปลว่าหนองน้ำของนายพราน ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของบ้านตาพราม ต.เทพรักษาฯในปัจจุบัน กลุ่มพรานสามในเจ็ดคน ก็ดั้นด้นจนไปพบปราสาทภูมิโปน และไปได้ยินกิตติศัพท์ความงามของพระนางศรีจันทร์เข้า พรานทั้งเจ็ดจึงได้ปลักลอบแอบดูพระนางศรีจันทร์สรงน้ำ และเห็นว่านางมีความงามสมคำร่ำลือจริงจึงรีบเดินทางกลับเพื่อไปรายงานพระราชา พระราชายินดีปรีดามากรีบจัดเตรียมกองทัพเพื่อไปรับนางมาเป็นพระชายาคู่บารมี


  ฝ่ายพระนางศรีจันทร์หลังจากวันที่ไปสรงน้ำก็เกิดลางสังหรณ์กระสับกระส่ายว่ามีคนมาพบที่ซ่อนของนางแล้ว เมื่อบรรทมก็ฝันว่าได้ทำกระทงเสี่ยงทายใส่เส้นผมเจ็ดเส้น อันมีกลิ่นหอมเเละเขียนสาส์นใจความว่าใครเก็บกระทงของนางได้นางจะยอมเป็นคู่ครอง ในกระทงยังให้ช่างเขียนรูปของนางใส่ลงไปด้วย เมื่อตื่นขึ้นมานางจึงได้จัดการทำตามความฝัน(ด้วยการที่นางเอาผมใส่ในผอบเครื่องหอมผมนางจึงหอม นางจึงได้ชื่อว่า เนียง เซาะกระโอบ หรือนางผมหอมอีกชื่อหนึ่ง) และนำกระทงไปลอย ณ สระลำเจียกหน้าปราสาท กระทงของนางได้ลอยไปยังอีกเมืองหนึ่งชื่อว่าเมืองโฮลมาน และราชโอรสของเมืองนี้ได้เก็บกระทงของนางได้ ทันทีที่เจ้าชายเปิดผอบก็หลงรักนางทันทีเจ้าชายโฮลมานนั้นมีรูปร่างไม่หล่อเหลา แต่มีฤทธานุภาพมากในเรื่องเวทย์มนต์คาถาและได้ชื่อว่ารักษาคำสัตย์เป็นที่ตั้ง พระองค์จึงไปสู่ขอนางตามประเพณีเพราะเป็นผู้เก็บผอบได้



  แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร เมื่อพระนางศรีจันทร์ได้เห็นรูปร่างของเจ้าชายโฮลมานนางจึงได้แต่นิ่งอึ้งและร้องไห้ เจ้าชายโฮลมานทรงเข้าพระทัยดีเพราะรู้ตัวว่าตัวเองมีรูปร่างอัปลักษณ์ แต่ด้วยความรักที่พระองค์มีต่อพระนางศรีจันทร์ พระองค์จึงไม่บังคับที่จะเอาตัวนางมาเป็นชายากลับช่วยพระนางขุดสระสร้างกำแพงเมือง และสร้างกลองชัยเอาไว้เพื่อให้พระนางตียามมีเหตุเดือดร้อนต้องการให้พระองค์ช่วยเหลือ พระองค์จะมาช่วยเหลือนางโดยทันที แต่ห้ามตีด้วยเหตุไม่จำเป็นเป็นอันขาด


  ต่อมา มีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่มาหลงรักพระนางศรีจันทร์ นั่นคือบุญจันทร์นายทหารคนสนิทที่พระราชบิดาของพระนางศรีจันทร์ไว้วางพระราชหฤทัยให้รับใช้ใกล้ชิดพระนางศรีจันทร์ ด้วยความใกล้ชิดทำให้บุญจันทร์หลงรักพระนางศรีจันทร์ แต่พระนางศรีจันทร์ก็ไม่ได้มีใจตอบกับบุญจันทร์ ยังคงคิดกับบุญจันทร์แค่เพื่อนสนิทเท่านั้นวันหนึ่งบุญจันทร์ได้เห็นกลองชัยที่เจ้าชายโฮลมานให้พระนางไว้ ก็นึกอยากตี จึงไปร่ำร้องกับพระนางทุกเช้าเย็นอยากจะขอลองตีกลอง พระนางทนไม่ไหวพูดประชดทำนองว่า ถ้าอยากตีก็ตีไปเพราะคงจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว บุญจันทร์หน้ามืดตามัวด้วยคิดว่านางมีใจให้เจ้าชายโฮลมานก็ไปตีกลอง เจ้าชายโฮลมานและไพร่พลก็ปรากฏตัวขึ้นทันทีเพราะนึกว่าพระนางศรีจันทร์มีเหตุร้าย พระนางศรีจันทร์เสียใจมากเมื่อต้องบอกถึงเหตุผลที่ตีกลองให้เจ้าชายทราบ เจ้าชายโฮลมานตำหนิพระนางและเป็นอันสิ้นสุดสัญญาที่ให้ไว้กับพระนางทันที พระองค์จะไม่มาช่วยเหลือพระนางอีกแล้วแม้จะตีกลองเท่าไหร่ก็ตาม


  ฝ่ายพระราชาที่ส่งพรานป่าเจ็ดคน มาล่าสัตว์แล้วมาพบพระนางในตอนแรกนั้นก็ส่งทัพมาล้อมเมืองภูมิโปนไว้พระนางจึงหนีเข้าไปหลบภัยในปราสาทเเละคิดที่จะยอมตายเสียดีกว่า เพราะคนที่มาหลงรักพระนางแต่ละคนนั้น คนหนึ่งแม้จะเพียบพร้อมก็มีความอัปลักษณ์ คนหนึ่งก็มีความต่างศักดิ์ ด้านชนชั้นจนไม่อาจจะรักกันได้ และยังมีข้าศึกมาประชิดเมืองหมายจะเอาพระนางไปเป็นชายาอีก พระนางจึงพยายามหลบไปด้านที่มีการยิงปืนใหญ่ตั้งใจจะโดนกระสุนให้ตาย แต่พระนางก็กลับไม่ตายแต่ได้รับบาดเจ็บ แขนซ้ายหักและมีแผลเหนือราวนมด้านซ้ายเล็กน้อย(ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านดม-ภูมิโปนจะสังเกตเด็กผู้หญิงคนใดมีลักษณะแขนด้านซ้ายเหมือนเคยหักและมีแผลเป็นเหนือราวนมด้านซ้าย จะสันนิษฐานว่าพระนางด็อฮ ทม กลับชาติมาเกิด) เมื่อพระราชาตีเข้าเมืองได้จึงรีบรักษานาง



  ไม่ช้าพระนางก็หาย พระราชาจึงเตรียมยกทัพกลับและจะนำพระนางกลับเมืองด้วย พระนางจึงขออนุญาตพระราชาเป็นครั้งสุดท้ายขอไปอาบน้ำที่สระลำเจียก และปลูกต้นลำเจียกไว้กอหนึ่งพร้อมกับอธิษฐานว่าถ้าพระนางยังไม่กลับมาที่นี่ขอให้ต้นลำเจียกอย่าได้ออกดอกอีกเลย หลังจากนั้นพระนางก็ถูกนำสู่นครทางทิศตะวันตก ไปทางบ้านศรีจรูก พักทัพและฆ่าหมูกินที่นั่น(ซี จรูกแปลว่ากินหมู) ทัพหลังตามไปทันที่บ้านทัพทัน (ซึ่งกลายเป็นชื่อบ้านในปัจจุบัน)และเดินทางต่อมายังบ้านลำดวน พักนอนที่นั่น (ในภาษาเขมรคือ เรือม ดูล ซึ่งเป็นชื่อของ อ.ลำดวนในปัจจุบัน)


  ดังนั้นคำว่าภูมิโปน จึงมีความหมายโดยรวมว่าหมู่บ้านแห่งการหลบซ่อน (ภูมิ แปลว่า หมู่บ้าน โปน แปลว่า หลบซ่อน อีกความหมายหนึ่งแปลว่า มะกอก)


  นอกจากนี้ชาวบ้านในพื้นที่บ้านภูมิโปนยังเล่าขานอีกว่าต้นลำเจียกที่มีเผ่าพันธุ์สืบทอดต่อจากต้นที่นางหน้าอกใหญ่หรือนางผู้มีหน้าอกสวยงามปลูกถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีดอก

  ทุกๆปีทาง อบต.ดม จะมีการจัดงานแสงสีเสียงตำนานปราสาทภูมิโปน เรื่อง”เนียงด็อฮธม”ในช่วงต้นเดือน เม.ย.โดยก่อนจะมีการแสดง ก็จะมีพิธีเซ่นไหว้ปราสาทภูมิโปน ก่อนลั่นฆ้องเปิดการแสดง เสียง สี เสียง ซึ่งเป็นตำนานรักสามเศร้า ขององค์หญิงกับคนรัก ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและอนุรักษ์สืบสานตำนานปราสาทภูมิโปนซึ่งเป็นปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ปี โดยก่อนเปิดการแสดง มีการแสดงเดินแบบผ้าไหม ชื่อดังของจังหวัดสุรินทร์ซึ่งสามารถสร้างสีสันได้อย่างดีในทุกปี ทาง อบต.ดม มีแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวผักผ่อนหย่อนใจทางธรรมชาติเพื่อเชื่อมปราสาทภูมิโปนซึ่งอยู่ไม่ไกลกันคือหาดจอมเทียม ภายในสระปรือที่อยู่ไม่ไกลกัน โดยจะนำทรายมาเททำเป็นหาดทรายเทียมจึงตั้งชื่อว่าหาดจอมเทียม นั่นเอง

  
        

           http://www.dailynews.co.th/Content/regional

  

                                      ปราสาทศีขรภูมิ




 ปราสาทศีขรภูมิ ตั้งอยู่ที่ตำบลระแงง ห่างจากตัวเมืองสุรินทร์ 34 กิโลเมตร ตามเส้นทางหมายเลข 226 โดยอยู่ห่างจากที่ว่าการอำเภอไปอีก 1 กิโลเมตร ปราสาทศรีขรภูมิประกอบด้วยปรางค์อิฐ 5 องค์ องค์กลางเป็นปรางค์ประธาน มีปรางค์บริวารล้อมรอบอยู่ที่มุมทั้งสี่บนฐานเดียวกัน ก่อด้วยหินทรายและศิลาแลง ปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีบันไดทางขึ้นและประตูทางเข้าเพียงด้านเดียวคือด้านทิศตะวันออกปรางค์ทั้งห้าองค์มีลักษณะเหมือนกัน คือ องค์ปรางค์ไม่มีมุข มีชิ้นส่วนประดับทำจากหินทรายสลักเป็นลวดลายต่างๆ ทั้งส่วนที่เป็นทับหลังและเสาประดับกรอบประตู เสาติดผนัง และกลีบขนุนปรางค์ ส่วนหน้าบันเป็นอิฐประดับลวดลายปูนปั้น องค์ปรางค์ประธานมีทับหลังสลักเป็นรูปศิวนาฏราช (พระอิศวรกำลังฟ้อนรำ) บนแท่น มีหงส์แบก 3 ตัวอยู่เหนือเศียรเกียรติมุข มีรูปพระคเนศ พระพรหม พระวิษณุ และนางปารพตี (นางอุมา) อยู่ด้านล่าง เสาประตูสลักเป็นลวดลายเทพธิดาลายก้ามปูและรูปทวารบาล

ส่วนปรางค์บริวารพบทับหลัง 2 ชิ้น ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย เป็นภาพกฤษณาวตาร ทั้งสองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นภาพกฤษณะฆ่าช้างและคชสีห์ ส่วนอีกชิ้นหนึ่งเป็นภาพพระกฤษณะฆ่าคชสีห์จากลวดลายที่เสาและทับหลังขององค์ปรางค์ มีลักษณะปนกันระหว่างรูปแบบศิลปะขอมแบบบาปวน (พ.ศ. 1550-1650) และแบบนครวัด (พ.ศ. 1650-1700) จึงอาจกล่าวได้วา ปราสาทแห่งนี้คงสร้างขึ้นในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 17 หรือต้นสมัยนครวัด โดยสร้างขึ้นเนื่องในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย และคงถูกดัดแปลงให้เป็นวัดในพุทธศาสนาตามที่มีหลักฐานการบูรณะปฏิสังขรณ์ในราวพุทธศตวรรษที่ 22 ในสมัยอยุธยาตอนปลาย

เวลาเปิด-ปิด: ปราสาทศีขรภูมิเปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 08.00-16.30 น.
อัตราค่าเข้าชม : ชาวไทย คนละ 10 บาท ชาวต่างประเทศ 50 บาท




ชิ้นส่วนปราสาทศีขรภูมิ
ชิ้นส่วนปราสาทศีขรภูมิ ชิ้นส่วนเหล่านี้เป็นชิ้นส่วนที่อยู่บนปราสาทมาก่อน หลังจากนั้นเกิดการชำรุดหักพังหล่นลงมาจากปราสาท จึงได้มีการนำมารวบรวมตั้งไว้บริเวณด้านหน้าของทางเข้าใต้ต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ ด้านขวามือ จากนั้นจึงได้สังเกตุเห็นบริเวณรอบปราสาทแห่งนี้มีต้นโพธิ์อยู่ 3 ต้น อยู่ที่มุม 3 มุมรอบบริเวณองค์ปราสาท ขาดเพียงมุมด้านหลังขวามือที่ไม่มีต้นโพธิ์ ต้นโพธิ์ต้นหนึ่งด้านซ้ายมือด้านหน้าทางเข้ามีข้อมูลเกี่ยวกับปราสาทแห่งนี้ให้อ่าน

ปราสาทศีขรภูมิ
ปราสาทศีขรภูมิ เป็นภาพด้านหน้าของปราสาท ในขณะที่เดินทางไปถึงปราสาทแห่งนี้ตามแผนการเดินทางของทริปแห่เทียนอุบลราชธานี เราเลือกปราสาทศีขรภูมิเป็นจุดแวะบนทางผ่าน เพียงแต่เราเข้าไปถึงเวลา 16.27 น. ซึ่งปราสาทแห่งนี้เปิดให้เข้าชมได้ถึงเวลา 16.30 น. ค่อนข้างเฉียดฉิวทีเดียว แต่เวลาช่วงนี้มีนักท่องเที่ยวน้อยสะดวกในการเก็บภาพเป็นอย่างยิ่งปราสาทที่ยิ่งใหญ่เบื้องหน้าที่เราเห็น ยังคงมีความสมบูรณ์อยู่มาก ปรางค์องค์กลางเป็นประธาน มี 4 องค์อยู่ที่มุมทั้งสี่ ซึ่งส่วนใหญ่ชำรุดลงไปมากแล้ว บางส่วนที่เห็นบนปราสาทเป็นการบูรณะของกรมศิลปากร

 ปรางค์ทั้ง 5 องค์สร้างบนฐานเดียวกัน กว้าง 25 เมตร ยาว 26 เมตร สูง 1.5 เมตร

บริเวณรอบปราสาทศีขรภูมิ
บริเวณรอบปราสาทศีขรภูมิ นับว่าปราสาทแห่งนี้มีพื้นที่ค่อนข้างกว้างขวาง รอบองค์ปราสาทเป็นสนามหญ้ากว้างใหญ่มากทีเดียว

ทับหลังปราสาทศีขรภูมิ
ทับหลังปราสาทศีขรภูมิ องค์ปรางค์ประธานมีทับหลังสลักเป็นรูปศิวนาฏราช (พระอิศวรกำลังฟ้อนรำ) บนแท่น มีหงส์แบก 3 ตัวอยู่เหนือเศียรเกียรติมุข มีรูปพระคเนศ พระพรหม พระวิษณุ และนางปารพตี (นางอุมา) อยู่ด้านล่าง เสาประตูสลักเป็นลวดลายเทพธิดาลายก้ามปูและรูปทวารบาล

ภายในปรางค์ประธาน
ภายในปรางค์ประธาน มีช่องประตูเล็กๆ เดินเข้าไปภายในได้ แต่ภายในนั้นค่อนข้างแคบและมืด มีพระพุทธรูปบูชาขนาดเล็กไว้ให้กราบไหว้บูชา

ฐานแท่นบูชาภายในปราสาท
ฐานแท่นบูชาภายในปราสาท ความมืดด้านในองค์ปรางค์ประธานทำให้มองแทบไม่เห็นองค์พระพุทธรูปในนี้ แต่ประชาชนที่นี่ก็มากราบไหว้บูชาจุดธูปเทียนและปิดทอง

ปรางค์มุมหลังซ้าย
ปรางค์มุมหลังซ้าย ถ้าหันหน้าเข้าหาปราสาทศีขรภูมิ จะมีปรางค์องค์เล็กที่มุมหลังซ้าย ที่ยังคงความสมบูรณ์มากที่สุด มีช่องประตูเข้าไปได้ จากหลักฐานเชื่อว่าปรางค์องค์นี้ซึ่งอยู่ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ได้มีการบูรณะส่วนยอดในราวพุทธศตวรรษที่ 22 สมัยศิลปล้านช้างดังมีจารึกอักษรธรรมปรากฏอยู่ ณ ปราสาทหลังนี้

ด้านหลังปราสาทศีขรภูมิ
ด้านหลังปราสาทศีขรภูมิ ชมรอบๆ ปราสาทมาจนถึงด้านหลัง

คูน้ำรอบปราสาทศีขรภูมิ
คูน้ำรอบปราสาทศีขรภูมิ รอบๆ องค์ปราสาทที่มีพื้นที่กว้างขวางมากนี้ มีคูน้ำอยู่รอบๆ อีกชั้นหนึ่ง เว้นเฉพาะด้านหน้าด้านทิศตะวันออกของปราสาทที่ไม่มีคูน้ำ จนเกือบเหมือนรูปตัว C ถ้าหากมองจากด้านบน

 คูน้ำนี้กว้าง 111 เมตร ยาว 125 เมตร

ภาพปิดท้าย
ภาพปิดท้าย เหมือนเป็นเก็บตกของการมาเยือนที่ปราสาทแห่งนี้ ภาพด้านหน้าตั้งแต่ทางเข้าซึ่งจะมองเห็นต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ มุมด้านหน้าทั้งซ้ายและขวา ส่วนอีกต้นหนึ่งอยู่ที่มุมด้านหลัง คงมีเพียงมุมเดียวเท่านั้นที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่ปกคลุม




http://www.tourismthailand.org/surin
     

ปราสาทตาเมือน


จากประวัติเดิม ปราสาทตาเมือนธม ( คำว่า ตา เมือนธม เป็นภาษาเขมรแปลว่า ตาไก่ใหญ่ ) เป็นปราสาทหินทรายโบราณขนาดใหญ่ที่สุด ในกลุ่ม ปราสาทตาเมือน โบราณสถานแบบขอม 3 หลัง อันประกอบไปด้วย ปราสาทตาเมือน ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือนธม ปราสาททั้งสามตั้งอยู่ใกล้เคียงกัน บนแนวภูเขาบรรทัด ในต.ตาเมียง กิ่ง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ติดชายแดนกัมพูชา ห่างเพียง 100 เมตรเท่านั้น โดยตัวปราสาทตาเมือนธม สร้างคร่อมโขดหินธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ในรูปของสวยัมภูลึงค์ หรือลึงค์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และนี่เองที่เป็นเครื่องหมายที่แสดงว่า ปราสาทหลังนี้เป็นศาสนาสถานในศาสนาพราหมณ์ ลัทธิไศวนิกาย เป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรม แต่ภายหลังได้ถูกใช้เป็นพุทธสถาน นักโบราณคดีกำหนดอายุอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่16-17ตรงกับศิลปะขอมแบบบาปวน
ตัวปราสาทตาเมือนธมจะหันหน้าไปทางทิศใต้ ต่างจากปราสาทอื่นๆ ที่มักหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และทิศเหนือ เช่น
ปราสาทพระวิหาร ซึ่งห่างจากด้านหน้าของปราสาทนี้ออกไปในเขตกัมพูชาจะมีสระน้ำ มีถนนตัดผ่านมาจากเมืองพระนครของเมืองเสียมราษฎร์ โดยถนนเส้นนี้ได้มีการกล่าวถึงในจารึกปราสาทพระขรรค์ ในเมืองพระนครว่า ได้ถูกตัดขึ้นในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ.1724-1763) เพื่อเชื่อมระหว่างเมืองพระนครกับเมืองพิมาย ตัดผ่านมาถึงสระน้ำของปราสาทหลังนี้ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่ามีความสำคัญพอสมควร
อีกนัยหนึ่ง
ปราสาทตาเมือนธม อยู่ห่างจากพื้นที่ปราสาทพระวิหาร ที่สร้างในพุทธศตวรรษที่ 15 ไปทางตะวันตก ประมาณ 150 กิโลเมตร แม้จะไม่โด่งดังเท่าปราสาทนครวัด หรือ ปราสาทพระวิหาร แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของสถาปัตยกรรมอันน่ามหัศจรรย์ของอาณาจักรขอมโบราณ ปราสาทตาเมือนธม ถูกสร้างเป็นพระตำหนักพักผ่อนของกษัตริย์ขอม ในยุคโบราณตั้งอยู่ริมถนน โบราณที่เชื่อมระหว่างเมืองที่ตั้งปราสาทนครวัดกับดินแดนที่เป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยในปัจจุบัน โดยฝ่ายไทยอ้างว่าปราสาทตาเมือนธมตั้งอยู่ในพื้นที่ทับซ้อน
สิ่งสำคัญ "ปราสาทตาเมือนธม" นั้น ในอดีตสถานที่แห่งนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่เชื่อว่าเป็น ที่พักคนเดินทาง หรือที่เรียกกันว่า
"ธรรมศาลา-บ้านมีไฟ" แห่งหนึ่งใน 121 แห่ง ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มหาราชองค์สุดท้ายแห่งเมืองพระนคร โปรดฯ ให้สร้างขึ้นจากเมืองยโสธรปุระ เมืองหลวงของอาณาจักรขอมโบราณไปยังเมืองพิมาย จึงถือว่าเป็นปราสาทหินที่เชื่อมโยงเส้นทางอารยธรรมขอมโบราณระหว่างปราสาทนครวัด-นครธม ประเทศกัมพูชา กับปราสาทหินพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์ และ ปราสาทหินพิมาย จ.นครราชสีมา
นอกจากนี้
ปราสาทตาเมือนโต๊ด ในกลุ่ม ปราสาทตาเมือน ยังเป็น อโรคยศาลา (โรงพยาบาลในสมัยนั้น) หลังสุดท้ายในเขตประเทศไทย ที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งเป็น 1 ใน 102 แห่ง ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โปรดให้สร้างเพื่อช่วยเหลืออาณาประชาราษฎร์ ดังข้อความในจารึกของพระองค์ที่พบในประเทศ ไทยหลักหนึ่งระบุว่า...ทุกข์ของประชาราษฎร์คือทุกข์ในพระองค์...

กรมศิลปากรสำรวจพบ และขึ้นบัญชีปราสาทตาเมือนธม ตั้งอยู่ในเขตไทยเป็นโบราณสถานของไทยตั้งแต่ปี 2478 หรือเมื่อ 73 ปีที่แล้ว ที่ผ่านมากรมศิลปากรได้บูรณะโดยทางการกัมพูชรับรู้มาตลอด
ภาพปราสาทตาเมือน
ขยาย

ขยาย
ขยาย
ขยาย
ภาพปราสาทตาเมือนธม
ขยาย
ขยาย
ขยาย
ขยาย
ขยาย



ขยาย
ขยาย
ภาพปราสาทตาเมือนโต๊ด
ขยาย
ขยาย
ขยาย

 
ขยาย
 
 
 

                     หมู่บ้านช้าง ใหญ่ที่สุดในโลก จ.สุรินทร์


ศูนย์คชศึกษา หรือ หมู่บ้านช้าง บ้านตากลาง เป็นสถานที่นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมวิถีความเป็นอยู่ ความผูกพัน ของคนในชุมชนและช้าง รวมทั้งประเพณี และวัฒนธรรมที่น่าชื่นชมอย่างใกล้ชิด ชาวบ้านตากลาง แต่ละครัวเรือนจะมีช้างที่เลี้ยงไว้อาศัยอยู่รวมกัน จนช้างที่พวกตนเลี้ยงไว้เปรียบเสมือนเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของตน ก่อให้เกิดสายใยความผูกพันที่แน่นเฟ้นขึ้น ระหว่างคนกับช้าง ณ บ้านตากลาง จ. สุรินทร์ ได้ชื่อว่าเป็นหมู่บ้านช้างเลี้ยงใหญ่ที่สุดในโลก

หมู่บ้านช้าง ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ จ.สุรินทร์

หมู่บ้านช้าง สุรินทร์
 
ชาวบ้านตากลาง ดั้งเดิมเป็น ชาวส่วย (กูย) หรือ กวย ที่มีความชำนาญในการคล้องช้างป่า ฝึกหัดช้าง และเลี้ยงช้าง ส่วนมากต้องเดินทางไปคล้องช้างบริเวณชายแดนต่อเขตประเทศกัมพูชาประชาธิปไตย ปัจจุบันสภาวะการเมืองระหว่างประเทศทำให้ชาวบ้านตากลาง ไม่สามารถไปคล้องช้าง เช่นแต่ก่อนได้ แต่ชาวบ้านตากลางยังคงเลี้ยงช้าง และฝึกช้างเพื่อไปร่วมแสดงในงานช้างของจังหวัดทุกปี

หมู่บ้านช้าง สุรินทร์
 
ลักษณะการเลี้ยงช้างของชาวบ้านตากลาง เหมือนการเลี้ยงช้างไว้เป็นเพื่อน นอนร่วมชายคาเดียวกับตน ดังนั้นถ้านักท่องเที่ยวได้ไปที่บ้านตากลาง นอกจากจะได้เห็นสภาพโรงช้างดังกล่าวแล้ว ยังจะได้สัมผัสการดำรงชีวิตของ ชาวส่วย พร้อมทั้งจะได้พบปะพูดคุยกับหมอช้าง ที่มีประสบการณ์ในการคล้องช้างมาแล้วหลายครั้งได้ตลอดเวลา รวมทั้งยังสามารถเดินทางชมจุดบริเวณที่แม่น้ำชี และแม่น้ำมูลไหลมารวมกัน ซึ่งห่างออกไปเพียง 3 กิโลเมตร มีทัศนียภาพที่งดงามน่าพักผ่อนหย่อนใจ และชวนให้ศึกษาในเชิงของธรรมชาติด้วย

หมู่บ้านช้าง สุรินทร์
 
ศูนย์คชศึกษา หรือ หมู่บ้านช้าง บ้านตากลาง จ.สุรินทร์ เป็นศูนย์รวมของสมาชิกช้างทั้งในบ้านกะโพ ตากลาง และจากหมูบ้านอื่น ๆ ในจังหวัดสุรินทร์มากกว่า 200 ตัว ซึ่งจัดให้เป็นวิถีชีวิตที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันของคนกับช้างโดยมีทั้งบ้าน เรือนของชาวบ้านหรือที่เรียกว่าควานช้าง และมีที่อยู่ของช้างอยู่ทั่วบริเวณเป็นวิถีชีวิตที่น่าทึ่งมากๆ ไม่ว่าเราจะเดินไปบริเวณไหนเราก็จะพบเห็นช้างอยู่แทบทุกที่ ซึ่งช้างแต่ละตัวก็เป็นช้างแสนรู้น่ารัก ไม่ดุร้าย และสามารถเข้ากับคนได้ง่าย ช้างบ้านตากลางเป็นช้างบ้านที่เชื่อง นอนร่วมชายคาเรือนเดียวกันกับคน เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ช้างกับคนอยู่รวมกันได้อย่างมีความสุข

หมู่บ้านช้าง สุรินทร์
 
โดย ศูนย์คชศึกษา หรือ หมู่บ้านช้างบ้านตากลาง มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจดังต่อไปนี้

หมู่บ้านช้าง สุรินทร์
 
สนามแสดงช้างแสนรู้ จะมีการแสดงความสามารถอันเฉลียวฉลาดและน่ารักของช้างในศูนย์ฯ อาทิ ช้างเต้นรำ ช้างวาดรูป ช้างปาลูกโป่ง ช้างเตะฟุตบอล ฯลฯ โดยจะเปิดการแสดงทุกวัน วันละ ๒ รอบ คือ ๑๐.๓๐ น. และ ๑๔.๓๐ น. ไม่เว้นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์

หมู่บ้านช้าง สุรินทร์
 
อาคารพิพิธภัณฑ์ เป็นสถานที่แสดงเรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับช้าง อาทิ วิวัฒนาการของช้าง ช้างในยุคต่างๆ โครงกระดูกช้าง โรคที่เกี่ยวข้องกับช้าง เครื่องมือในการคล้องช้าง ภาพวิธีการจับช้างในรูปแบบต่างๆ ลักษณะสำคัญของช้าง อาหารและยาสมุนไพรช้าง วิถีความผูกพันระหว่างคนกับช้าง พิธีการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับช้าง ขั้นตอนวิธีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับช้างที่เสียชีวิต วัฒนธรรมการแต่งกายของชาวกวยหรือกูย เป็นต้น
                
หมู่บ้านช้าง สุรินทร์
 
ศาลปะกำ ที่เป็นเสมือนเทวาลัยสิงสถิตของวิญญาณบรรพบุรุษและผีปะกำ ตามความเชื่อของ ชาวกวย หรือ กูย นิยมปลูกสร้างไว้ในชุมชนคุ้มบ้าน นักท่องเที่ยวสามารถไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์จาก ศาลปะกำ กันได้ ซึ่งเชื่อกันว่า ขอสิ่งได้ ได้สมปรารถนาดั่งที่ตั้งใจไว้

หมู่บ้านช้าง สุรินทร์
 
วังทะลุ ห่างจากหมู่บ้านช้างเพียง 3 กิโลเมตร ที่นี่เป็นบริเวณที่แม่น้ำมูลไหล และลำน้ำชี มาบรรจบกัน ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขง ที่จังหวัดอุบลราชธานี “วังทะลุ” เป็นสายน้ำที่แวดล้อมไปด้วยป่าที่กว้างใหญ่ไพศาล ก่อให้เกิดเป็นทัศนียภาพที่งดงามซึ่งหาชมได้ยาก ยังมีความอุดมบูรณ์ทางธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพ อีกทั้งยังเป็นที่อาบน้ำของช้างในหมู่บ้านยามเย็น

หมู่บ้านช้าง สุรินทร์
 
การแสดงช้างที่ ศูนย์คชศึกษา หรือ หมู่บ้านช้างบ้านตากลาง จ.สุรินทร์ มีทุกวัน วันละ 2 รอบ
รอบเช้า เวลา 10.00น.
รอบบ่าย เวลา 14.00น.
ค่าเข้าชม
ผู้ใหญ่ คนละ 50 บาท
เด็กโต คนละ 20 บาท
เด็กเล็ก คนละ 10 บาท
ชาวต่างชาติ คนละ 100 บาท

หมู่บ้านช้าง สุรินทร์
 
นอกจากการแสดงของช้างแล้ว ยังมีการแสดงงู ภายในหมู่บ้านช้างบ้านตากลาง จ.สุรินทร์ ซึ่งการแสดงจะเริ่มหลังจากชมการแสดงของช้างแสนรู้จบลง ซึ่งเสียค่าเข้าชมการแสดงคนละ 20 บาท

หมู่บ้านช้าง สุรินทร์
 
การเดินทาง
การเดินทางมายัง ศูนย์คชศึกษา หรือ หมู่บ้านช้างบ้านตากลาง จากกรุงเทพใช้เส้นทาง กรุงเทพ- สระบุรี- นครราชสีมา จากนั้นใช้เส้นทางหมายเลข 2 หรือถนนมิตรภาพแล้วแยกเลี้ยวขวาเข้าทางหมายเลข 206 เส้นทาง ไป อำเภอพิมายแยกซ้ายเข้าทางหมายเลข 2175 ไปชุมพวงผ่านอำเภอแคนดง-สตึก-ชุมพลบุรี
จากชุมพลบุรี ตรงไปยัง อำเภอท่าตูม ทางหมายเลข 2018 ประมาณ 12 กิโลเมตร จะมีทางเลี้ยวขวาลัดไปยังหมู่บ้านช้างบริเวณบ้านกระสัง ไปบ้านยางบภิรมย์ แล้วตรงไปอีกประมาณ 10 กิโลเมตร ก็จะถึงหมู่บ้านช้างบ้านตากลาง เส้นทางสะดวกเป็นถนนทางลาดยางตลอดสาย และยังมีป้ายบอกตลอดการเดินทาง
 
 
 
 


                                      วนอุทยานพนมสวาย




วนอุทยานพนมสวาย ตั้งอยู่ที่ตำบลนาบัว อำเภอเมือง ห่างจากศาลากลางจังหวัดประมาณ 22 กิโลเมตร ใช้เส้นทางสุรินทร์-ปราสาท (ทางหลวงหมายเลข 214) ระยะทาง 14 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาไปอีกประมาณ 6 กิโลเมตร เป็นภูเขาเตี้ย ๆ มียอดเขาอยู่ 3 ยอด

ยอดที่ 1 มีชื่อว่ายอดเขาชาย (พนมเปราะ) สูง 210 เมตร เป็นที่ตั้งของวัดพนมสวาย มีบันไดก่ออิฐถือปูนขึ้นถึงวัด ระหว่างทางเรียงรายไปด้วยระฆังจำนวน 1,080 ใบให้ผู้มาเยือนเคาะเพื่อความเป็นสิริมงคล มีสระน้ำกว้างใหญ่และร่มรื่นด้วยต้นไม้ บนเขาเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสุรินทรมงคล เป็นพระพุทธรูปสีขาว ปางประทานพร ภปร. ขนาดหน้าตักกว้าง 15 เมตร สูง 21.50 เมตร มีพระบรมสารีริกธาตุบรรจุที่บริเวณพระนาภี

ยอดที่ 2 มีชื่อว่ายอดเขาหญิง (พนมสรัย) สูงระดับ 228 เมตร เป็นที่ตั้งของวัดพนมศิลาราม ทางวัดได้จัดสร้างพระพุทธรูปองค์ขนาดกลางประดิษฐานบนยอดเขา และยังมี สระน้ำโบราณ 2 สระที่เชื่อว่าเป็นที่อยู่ของ เต่าศักดิ์สิทธิ์

ยอดที่ 3 มีชื่อว่าเขาคอก (พนมกรอล)พุทธสมาคมจังหวัดสุรินทร์ได้จัดสร้างศาลาอัฏฐะมุข เป็นอนุสรณ์ฉลองครบรอบ 200 ปี แห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เพื่อประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง จากยอดเขาชายมาประดิษฐานไว้ในศาลา โดยเริ่มทำการก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2524 และสำเร็จบริบูรณ์ในวันที่ 15 กรกฎาคม 2525 ใกล้กันนั้นมีสถูปที่เก็บอัฐิธาตุพระราชวุฒาจารย์ หรือหลวงปู่ดูลย์ อตุโล พระเกจิสายวิปัสสนา วัดพนมศิลาราม และศาลเจ้าแม่กวนอิม ให้ประชาชนได้เคารพบูชา

ในอดีตบรรพบุรุษชาวสุรินทร์ถือว่าเขาพนมสวายเป็นสถานที่แสวงบุญ โดยการเดินทางไปขึ้นยอดเขาในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ซึ่งเป็นวันหยุดงานตามประเพณีของชาวจังหวัดสุรินทร์มาแต่โบราณกาล และจวบจนปัจจุบันชาวสุรินทร์ยังถือปฏิบัติเรื่อยมา ผู้ที่มาเยือนเขาพนมสวายจะได้สักการะ9สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเพื่อความเป็นสิริมงคล คือพระใหญ่หรือพระพุทธ สุรินทรมงคล รอยพระพุทธบาทจำลอง อัฐิหลวงปู่ดุล อตุโล พระพุทธรูปองค์ดำ หลวงปู่สวน ปราสาทหินพนมสวาย ศาลเจ้าแม่กวนอิม เต่าศักดิ์สิทธิ์ และสระน้ำศักดิ์สิทธิ์

ทางเข้าวนอุทยานพนมสวาย
ทางเข้าวนอุทยานพนมสวาย เป็นโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธ เฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 จังหวัดและคณะสงฆ์จังหวัดสุรินทร์ ได้จัดทำโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธ โดยร่วมกันจัดหาระฆัง 1,080 ใบ จากวัดทั้งหมดในจังหวัดสุรินทร์ 1,070 วัด และวัดสำคัญในกรุงเทพมหานคร 10 วัด เพื่อติดตั้งบริเวณสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ภายในวนอุทยานพนมสวายแห่งนี้ ให้มีภูมิทัศน์สวยงามยิ่งขึ้น และให้นักท่องเที่ยว ประชาชนทั่วไป ที่ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาได้เคาะระฆังบูชาพระรัตนตรัยเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนและครอบครัว วนอุทยานพนมสวายมีพื้นที่ 1,975 ไร่ ประกอบด้วยยอดเขา 3 ลูกคือ
 ยอดที่ 1 ชื่อพนมเปร๊าะ หรือเขาชาย สูง 220 เมตร เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสุรินทรมงคล
 ยอดที่ 2 ชื่อพนมสรัย หรือเขาหญิง สูง 210 เมตร เป็นที่ตั้งวัดพนมศิลาราม
 ยอดที่ 3 ชื่อพนมกรอล หรือเขาคอก สูง 150 เมตร เป็นที่ตั้งสถูปบรรจุอัฐิหลวงปู่ดุลย์ อตุโล ยอดพระเกจิอาจารย์สายวิปัสสนา

 วนอุทยานพนมสวายตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมด 18,145 ไร่ มีสถานที่ที่น่าสนใจหลายแห่งเริ่มต้นตั้งแต่ซุ้มประตู เป็นซุ้มที่สลักลวดลายสวยงาม สถาปัตยกรรมขอมโบราณ สร้างขึ้นในปี 2548-2549 ถัดเข้าไปจะมีผาดอกบัว ตามเส้นทางลึกเข้าไปมีเสาหินจำหลักแบบเดียวกันตั้งเรียงรายเป็นแนวอย่างสวยงาม ข้างทางยังมีทางแยกเข้าไปชมสถานที่ต่างๆ ได้แก่ น้ำตกโตงใหญ่ รอยเท้าหลวงตาพรม บ่อสัมฤทธิ์ ลานหินล้านปี บ่อขมิ้น บ่อสกัด คอกโบราณหรือที่เรียกว่า กรอล ฯลฯ

ทางเข้าสถูปอัฐิหลวงปู่ดุลย์
ทางเข้าสถูปอัฐิหลวงปู่ดุลย์ อตุโล หลังจากที่เดินทางผ่านซุ้มประตูของวนอุทยานพนมสวายเข้ามาได้สักระยะหนึ่งเราก็ได้เจอลานจอดรถใกล้สถูป มีซุ้มขายเครื่องดื่ม มีธูปเทียนดอกไม้ บริการที่นี่ ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือมีไม้สำหรับเคาะระฆัง ราคา 50 บาท เพื่อใช้เคาะระฆัง 1,080 ใบ ในวนอุทยานพนมสวาย ระฆังที่เราเห็นอยู่ที่ทางเข้าสถูป และสถานที่อื่นๆ ทั้งหมด จะมีลายสัญลักษณ์เฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ดังนั้นถ้าจะเคาะระฆังเหล่านี้ควรใช้ไม้เท่านั้น เพื่อไม่ให้ลวดลายบนระฆังเกิดความเสียหาย

 ทางเข้าสถูปบรรจุอัฐิหลวงปู่ดุลย์ อตุโล และบริเวณรอบๆ จะแขวนระฆังไว้เป็นเสมือนกำแพง โดยเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลว่าระฆังที่นี่มี 540 ใบ อีก 540 ใบจะอยู่ที่ทางขึ้นเขาชายที่ประดิษฐานพระพุทธสุรินทรมงคล

ระฆังสัญลักษณ์เฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา และเพื่อให้ได้เห็นภาพกันชัดเจนขึ้นก็เลยถ่ายลวดลายบนระฆังมาให้ชมกันจะได้เข้าใจว่าทำไมจึงต้องใช้ไม้เท่านั้นในการเคาะระฆัง ระฆังทั้งหมด 1,080 ใบมีลวดลายแบบเดียวกันทั้งหมดครับ

สถูปบรรจุอัฐิหลวงปู่ดุลย์
สถูปบรรจุอัฐิหลวงปู่ดุลย์ อตุโล และเมื่อเดินตามทางเข้ามาเรื่อยๆ จะเห็นสถูปได้ชัดๆ เป็นการก่อสร้างที่สวยงามด้วยทรงสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ประตูทางเข้าออกได้ 4 ทาง ลานประทักษินปูด้วยอิฐเป็นบริเวณกว้างโดยจะเห็นแนวระฆังที่แขวนไว้รอบๆ ได้

ซุ้มประตูสถูป
ซุ้มประตูสถูป ชมภายนอกกันแล้วก็มาที่ภายในก่อนที่จะเดินก้าวเข้าไปในซุ้มประตู เอาภาพลวดลายที่สวยงามบนซุ้มมาฝากกันด้วยครับ

หลวงปู่ดุลย์
หลวงปู่ดุลย์ อตุโล เมื่อเข้ามาด้านในแล้วก็เอาธูปเทียนที่ทำบุญบูชามาจากด้านหน้าทางเข้าสถูปมาจุดสักการะหลวงปู่ดุลย์ เกจิอาจารย์ที่ได้รับความเคารพศรัทธาอย่างสูงสำหรับชาวสุรินทร์ และทั่วประเทศ

บันไดนาคเขาคอก
บันไดนาคเขาคอก ออกจากสถูปบรรจุอัฐิหลวงปู่ดุลย์แล้ว ก็ได้เวลาสำรวจสถานที่อื่นๆ บนยอดเขาคอก จะมีบันไดนาคแห่งนี้ที่สะดุดตาอยู่นานแล้วและคิดว่าคงเป็นทางเดินไปไหนได้อีกแน่ๆ เลยเข้าไปสอบถามเจ้าหน้าที่ได้ความว่า บันไดนาคนี้เป็นทางเดินขึ้นไปบนยอดเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลาอัฐะมุข และศาลเจ้าแม่กวนอิม ยังเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นยอดเขาชายได้ด้วย

สระน้ำข้างบันไดนาค
สระน้ำข้างบันไดนาค เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่สามารถจะทำได้เมื่อมาเที่ยวที่วนอุทยานพนมสวาย คือการให้อาหารปลา ซึ่งซื้อจากซุ้มที่บริการนักท่องเที่ยวอยู่ สระน้ำนี้มองดูขนาดไม่ใหญ่มากนักแต่มีปลาหลายชนิดอาศัยอยู่ชุกชุม รายล้อมด้วยต้นไม้แน่นขนัดดูครึ้มไปทั่วบริเวณ

ศาลาอัฐะมุข
ศาลาอัฐะมุข เป็นศาลาที่ตั้งอยู่บนพนมกรอล หรือเขาคอกแห่งนี้ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2525 โดยพุทธสมาคมจังหวัดสุรินทร์ เป็นอนุสรณ์ครบรอบ 200 ปี แห่งการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ เพื่อประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง

 ศาลาอัฐะมุขนี้สร้างเป็นทรงแปดเหลี่ยม มีประตูทางเข้าออกได้ 4 ทาง แต่ปัจจุบันจะเปิดเฉพาะด้านหน้าและด้านข้าง เท่านั้น

รอยพระพุทธบาทจำลอง
รอยพระพุทธบาทจำลอง ภายในศาลาอัฐะมุข เป็นที่ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2470 เดิมประดิษฐานอยู่บนเขาชาย หลังจากสร้างศาลาอัฐะมุขแล้วจึงย้ายมาประดิษฐานที่นี่

ศาลเจ้าแม่กวนอิม
ศาลเจ้าแม่กวนอิม อยู่ห่างจากศาลาอัฐะมุขเพียงเล็กน้อยโดยมีทางเดินเชื่อมถึงกันได้ ภายในประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมที่งดงาม ผนังด้านในหลังเจ้าแม่กวนอิมมีภาพเทพเจ้าตามความเชื่อแบบมหายาน

พระพุทธสุรินทรมงคล
พระพุทธสุรินทรมงคล พระพุทธรูปสีขาวขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่บนยอดเขาชายจากเขาคอกที่เราเดินลงมาจากศาลาอัฐะมุขจะมองเห็นพระพุทธรูปองค์นี้ได้ชัดเจน จากตรงนี้เราจะเดินทางไปยังเขาชาย ก็คงต้องใช้รถ เพราะระยะทางแม้จะไม่ไกลมากแต่ก็ไม่ควรจะจอดรถไว้ตรงนี้แล้วเดินไปแน่ๆ

 เก็บตกเล็กๆ น้อยๆ ก่อนที่จะเดินทางต่อ ที่เขาคอกแห่งนี้มีห้องน้ำบริการ เป็นห้องน้ำเล็กๆ ที่สร้างได้สวยงามมาก มีการรักษาความสะอาดเป็นอย่างดี โดยหญิงชราอายุ 74 ปี

บันไดขึ้นเขาชาย
บันไดขึ้นเขาชาย (พนมเปร๊า๊ะ) เขาชายเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธสุรินทรมงคล อยู่บนยอดเขา มีบันไดทางเดินประมาณ 200 กว่าขั้น เดินเพียงไม่นานก็ถึงยอดเขา 2 ข้างทางเดินแขวนระฆังเรียงรายกันเป็นระดับไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ จากข้อมูลที่ได้มาจากเจ้าหน้าที่ก็จะมีระฆังทั้งหมด 540 ใบ รวมกับรอบสถูปอัฐิหลวงปู่ดุลย์ ก็เป็น 1,080 ใบพอดี ซึ่งแต่ละใบก็จะมีลวดลายสัญลักษณ์เฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษาทั้งสิ้น

 เมื่อเดินขึ้นไปจะพบกับศาลาหลังเล็กๆ หลังหนึ่ง เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ดำ

ระฆังจากวัดระฆังโฆสิตาราม
ระฆังจากวัดระฆังโฆสิตาราม ภาพซ้ายมือเป็นระฆังจากวัดระฆังที่มอบให้วนอุทยานพนมสวาย มีสัญลักษณ์ ฉลองสิริราชสมบัติ 50 ปี

 ส่วนภาพขวามือเป็นระฆังที่มีจำนวนน้อยใน 1,080 ใบ ที่มีการลงสีทองไว้และหลุดร่อนไปบ้างบางส่วน

ศาลาพระพุทธรูปองค์ดำ
ศาลาพระพุทธรูปองค์ดำ อยู่ด้านหน้าของพระพุทธสุรินทรมงคล เป็นศาลาที่สร้างด้วยลวดลายสลักงดงามศิลปะแบบขอมโบราณ

พระพุทธสุรินทรมงคล
พระพุทธสุรินทรมงคล พระพุทธรูปสีขาวองค์ใหญ่เด่นสง่ามองเห็นได้แต่ไกล เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ศูนย์รวมจิตใจชาวเมืองสุรินทร์ เป็นพระพุทธรูปประทับนั่งปางประทานพร หน้าตักกว้าง 15 เมตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามไว้ โดยสร้างแล้วเสร็จเมื่อเดือน มกราคม พ.ศ. 2520 ดำเนินการสร้างโดยพุทธสมาคมจังหวัดสุรินทร์

พระพุทธรูปองค์ดำ
พระพุทธรูปองค์ดำ สร้างขึ้นเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2532 มีหน้าตักกว้าง 120 เซนติเมตร สูง 104 เซนติเมตร

วิวสวยพนมเปร๊าะ
วิวสวยพนมเปร๊าะ ยอดเขาชายหรือพนมเปร๊าะ เป็นยอดเขาที่มีจุดชมวิวที่สวยงามของท้องทุ่งนาเขียวขจีของชาวสุรินทร์ได้กว้างไกล จุดชมวิวนี้อยู่เบื้องหลังของพระพุทธสุรินทรมงคล มีบันไดทางเดินลงซึ่งต้องปีนก้อนหินบ้างเล็กน้อย

วิวสวยพนมเปร๊าะ
วิวสวยพนมเปร๊าะ อีกภาพหนึ่งของท้องทุ่งนาสวยๆ ที่อยู่ระหว่างการดำนา ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของกระบวนการปลูกข้าว

วัดพนมศิลาราม
วัดพนมศิลาราม เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนยอดเขาพนมสรัย หรือเขาหญิง วัดแห่งนี้เป็นวัดที่ค่อนข้างสงบ กุฎิสงฆ์สร้างอยู่ห่างออกไปในป่าค่อนข้างห่างจากอุโบสถ (ภาพบนซ้าย)

 วัดพนมศิลารามมีอุโบสถที่โดดเด่นขนาดใหญ่ ซึ่งน่าจะเป็นชั้นบนของอาคาร ส่วนชั้นล่างใช้เป็นวิหารและศาลา ภายในวัดยังมีพิพิธภัณฑ์พระครูพนมศิลคุณสร้างไว้ข้างสระน้ำ

 ด้วยความสงบของวัดพนมศิลารามมีสัตว์เดินไปเดินมาอย่างสบายอารมณ์ไม่เกรงกลัวคนที่เข้ามาในวัด นอกจากแพะตัวนี้จะเดินเข้ามาหาโพสต์ท่าสุดเท่ห์ให้ถ่ายรูปสบายๆ นอกจากนี้ยังมีแมว สุนัข กระรอก ให้ได้เห็น

บริเวณวัดพนมศิลาราม
บริเวณวัดพนมศิลาราม สิ่งที่น่าสนใจในวัดแห่งนี้ยังมีพระพุทธรูปปางประสูติที่สร้างใหญ่มาก ในร่มเงาของต้นไม้ใหญ่เป็นบริเวณที่แสนสงบเหมาะแก่การเจริญสมาธิวิปัสสนา
 หอระฆังวัดพนมศิลารามเป็นหอระฆังที่สร้างมานานมากเมื่อเทียบกับอาคารอื่นๆ ของวัด ใกล้ๆ หอระฆังมีวิหารพระสังกัจจายน์ ให้ประชาชนได้กราบไหว้

เจดีย์บรรจุอัฐิพระยาสุรินทร์ภักดีศรีผไทสมัน
เจดีย์บรรจุอัฐิพระยาสุรินทร์ภักดีศรีผไทสมัน เจดีย์บรรจุอัฐิพระยาสุรินทร์ภักดีศรีผไทสมัน (จรัณย์) เจ้าเมืองสุรินทร์คนที่ 8 (พ.ศ. 2438) อยู่ในบริเวณวัดพนมศิลาราม ใกล้ๆ ซุ้มประตูและบันไดนาคของวัด

บริเวณรอบๆ
บริเวณรอบๆ ที่น่าสนใจในวนอุทยานพนมสวาย ภาพบนซ้าย เป็นศาลาซึ่่งเป็นชั้นล่างของอาคารหลังใหญ่และเป็นอุโบสถของวัด มีพระประธานที่มีพุทธลักษณะงดงาม ผนังเบื้องซ้ายขององค์พระประธานเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประจำวันเกิด และมีภาพเขียนฝาผนังที่สวยงาม

 ภาพบนขวา เป็นบันไดนาคจากวัดเดินลงไปยังเชิงเขาซึ่งไม่สูงนักมีเส้นทางไปยังหินรูปเต่าศักดิ์สิทธิ์

 ภาพล่างซ้าย หินรูปเต่าศักดิ์สิทธิ์ ห่างจากวัดพนมศิลารามประมาณ 500 เมตร โดยมีถนนลาดลงมาถึงเดินทางโดยรถยนต์ได้ รอบๆ เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ เป็นที่หาปลาทำมาหากินของชาวบ้านรอบๆ วนอุทยานพนมสวาย ทำให้เราได้เห็นภาพวิถีชีวิตที่สวยงาม

หนองน้ำแห่งชีวิต
หนองน้ำแห่งชีวิต ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติในบริเวณวนอุทยานพนมสวายเป็นที่พึ่งของชีวิตหลายชีวิต ทั้งคนและสัตว์ สมควรที่จะได้รับการดูแลและอนุรักษ์ไว้เพื่อลูกหลาน
 จบการนำเที่ยวชมวนอุทยานพนมสวายด้วยรูปนี้เลยครับ นอกจากที่ได้กล่าวมาทั้งหมด วนอุทยานพนมสวายยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอื่นๆ อีกได้แก่
 รอยเท้าหลวงตาพรหม เป็นปรากฏการทางธรณี ที่ไม่มีใครอธิบายได้ชัดเจน ตามตำนานเล่าว่า หลวงตาพรหมเป็นคนโบราณที่มีรูปร่างใหญ่โตมาก ได้หาบหินผ่านมาถึงบริเวณเขาสวายไม้คานเกิดหัก หินที่หาบมาก็หล่นมากองกันจนกลายเป็นเขาสวาย รอยเท้าหลวงตาพรหมในอดีตได้มีผู้คนค้นพบหลายจุดด้วยกันแต่ในปัจจุบันไม่มีใครทราบทางชัดเจน
 ลานหินล้านปี เป็นพื้นที่ลานหินกว้างท่ามกลางโอบกอดของป่าแคระ มีหินเรียงรายติดต่อกันเป็นจำนวนมากทำให้เกิดเป็นทัศนียภาพที่สวยงาม
 บ่อขมิ้น เป็นบ่อหินธรรมชาติกว้างประมาณ 1 เมตร ลึก 1 เมตร ในอดีตจะมีน้ำสีเหลืองทองคล้ายขมิ้นขังอยู่ตลอดปี โดยไม่ทราบที่มา กระทั่งเมื่อมีผู้คนเดินทางมาชมบ่อขมิ้นเป็นจำนวนมาก บางคนก็โยนสิ่งของลงไปในบ่อ ทำให้สีของน้ำที่เหมือนขมิ้นจางหายไปในที่สุด